ธรรมะสอนใจ : รู้ตัว - คำสอนของพระธุดงค์เถื่อน



มีพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง เดินธุดงค์มาอาศัยอยู่ที่ “ถ้ำ” ในเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าแห่งหนึ่ง ไม่มีใครทราบว่า
ท่านชื่ออะไร? มาจากไหน เพราะท่านไม่เคยบอกใคร พระภิกษุหนุ่มรูปนี้เป็นพระธุดงค์ที่ปฏิบัติเคร่งครัดมาก
ห่มจีวรสีกลัก ฉันอาหารมื้อเดียว และฉันในบาตร ออกบิณฑบาตเป็นประจำทุกวันไม่เคยขาด
เพราะเหตุนี้จึงเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านอย่างสูง ทุกคนเรียกท่านว่า “หลวงพ่อ” ท่านมีลักษณะพิเศษอย่างหนึ่ง คือ พูดน้อย อาจกล่าวได้ว่า ไม่มีใครเคยได้ยินท่านพูดถึง 3 ประโยคในคราวเดียวกัน
และทุกๆ ประโยคที่หลุดออกมา มักจะเป็นปริศนาธรรมอันลึกซึ้ง หรือเป็นสุภาษิต มีคติน่าจับใจเสมอ

วันหนึ่งมีชายคนหนึ่ง ชื่อ "เบี้ยว" ได้ไปกราบนมัสการและพบหลวงพ่อนั่งพักผ่อนอยู่ใต้ชะง่อนหินตรงปากถ้ำหลังจากกราบท่านแล้วจึงเอ๋ยถามว่า “หลวงพ่อครับ … ตัวผมนี้ ถึงจะเป็นพุทธศาสนิกชน ก็ยังมีความสงสัยลังเลอยู่มาก ไม่ทราบว่าจะยึดอะไรเป็นหลักปฏิบัติ ผมเคยไปถามพระหลายองค์หลายวัด บางท่านสอนให้ทำบุญทำทาน บางท่านสอนให้รักษาศีล บางท่านก็สอนให้เจริญภาวนา บ้างก็ให้วิปัสสนาพิจารณากันเลย บางท่านก็ชวนให้ออกบวช บางท่านก็แนะนำให้ทำจิตให้ว่าง ผมเลยงงไปหมด ไม่รู้ว่าจะยึดอะไรเป็นหลักแน่! หลวงพ่อกรุณาบอกผมด้วยว่า จะทำอย่างไร จึงจะเดินถูกทาง เข้าถึงแก่นพระศาสนาได้

รู้” หลวงพ่อตอบสั้น ๆ ตามแบบฉบับของท่าน แล้วหลวงพ่อก็ไม่พูดอะไรอีก เบี้ยวงงเหมือนไก่ตาแตก
เพราะไม่เข้าใจความหมาย จึงถามต่อว่า “รู้ อะไรครับ?

รู้ตัว” หลวงพ่อตอบ แล้วลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในถ้ำ ก่อนที่เบี้ยวจะได้ทันซักถามอะไรเพิ่มเติม

หลายวันผ่านไป เมื่อไม่สามารถคิดปัญหาที่หลวงพ่อให้มาได้ เบี้ยวจึงคิดว่าบางทีหนังสืออาจจะช่วยได้บ้างจึงไปหาซื้อหนังสือเกี่ยวกับ “กลไกของร่างกายมนุษย์” มาอ่าน

เมื่อเชื่อว่าตน “รู้ตัว” ดีแล้ว จึงได้ไปพบหลวงพ่อที่ถ้ำ และได้บรรยายกลไกแห่งร่างกายมนุษย์ ให้หลวงพ่อฟังอย่างละเอียด ตามที่จำได้จากหนังสือ เมื่อเล่าจบก็นั่งตั้งใจคอยฟังว่า หลวงพ่อท่านจะมีความคิดเห็นอย่างไร

เจ้ายังไม่รู้ตัว” หลวงพ่อท่านพูดขึ้น หลังจากนั่งเงียบตลอดเวลา
สิ่งที่เจ้ารู้เป็นแต่เพียง … สมมติสัจจะ

ก่อนที่จะทันได้โต้ตอบ ท่านก็ลุกขึ้นเดินเข้าถ้ำไปเสียแล้ว ปล่อยให้เบี้ยวนั่งถอนใจผิดหวังอยู่คนเดียว
ด้วยความไม่ย่อท้อ เบี้ยวเริ่มต้นคิดหาความหมายของคำว่า “รู้ตัว” ในแนวอื่น แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งมืดแปดด้าน
จึงตัดสินใจเข้าไปพบและขอคำปรึกษาหารือจากอาจารย์ผู้สอนวิทยาศาสตร์ของเค้า หลังจากได้ทราบถึงที่มาที่ไปจากเบี้ยว อาจารย์ผู้ได้ปริญญาโททางวิทยาศาสตร์นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า
สรีรวิทยา หรือกายวิภาควิทยา ยังไม่ใช่ความรู้สุดท้ายเกี่ยวกับตัวมนุษย์ ถ้าจะให้ถึงที่สุดก็ต้องศึกษาในแง่เคมี” ว่าแล้วอาจารย์ก็เริ่มอธิบาย ร่างกายมนุษย์ในแง่เคมีให้ฟัง

เบี้ยวกลับไปพบหลวงพ่ออีกครั้งหนึ่ง และได้อธิบาย “รู้ตัว” ในแง่วิชาเคมี ให้หลวงพ่อท่านฟังอย่างละเอียด

เจ้ายังไม่รู้ตัว” หลวงพ่อท่านพูดขึ้น หลังจากสักครู่ใหญ่ผ่านไป
สิ่งที่เจ้ารู้เป็นแต่เพียง … สภาวสัจจะ

เบี้ยวต้องผิดหวังกลับบ้านอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เค้าหมดความมานะพยายามที่จะค้นหาความจริงต่อไปยังพยายามขบคิดความหมายของ “รู้ตัว” ต่อไป แต่ก็ไม่ได้รับความกระจ่างแจ้งใดๆ จนกระทั่งเย็นวันหนึ่ง เค้าได้ยินวิทยุท้องถิ่นประกาศข่าวว่า จะมีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญทางพระอภิธรรมคนหนึ่งมาแสดงปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ความลับของชีวิต” พอได้ยินประกาศนั้น เบี้ยวก็เกิดความหวังขึ้นมาทันทีว่า คราวนี้คง “รู้ตัว” แน่ๆ เพราะ 2 ครั้ง ที่แล้วมา ศึกษาแต่ในด้านวัตถุด้านเดียว จนลืมด้านจิตใจเสียสนิท

ถึงวันนัดหมาย เบี้ยวได้เข้าไปฟัง เมื่อได้เวลา องค์ปาฐกก็ก้าวขึ้นสู่เวที ท่านกล่าวว่า คนสมัยนี้มีความรู้มาก ความรู้กว้างไกล ไกลจากตัวเองสู่โลก จากโลกสู่อวกาศ แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ลืมตัวเองอย่างสนิท จึงมีความรู้เกี่ยวกับตนเองน้อยมาก มนุษย์ไม่รู้ตนคืออะไร ประกอบด้วยอะไร เกิดมาได้อย่างไร ตายแล้วจะไปไหนท่านได้อธิบายธรรมชาติของจิต ดวงต่างๆ การทำงานของจิต อารมณ์ของจิต เจตสิกธรรมต่างๆ ที่แทรกอยู่ในจิตเรื่องกรรม อำนาจของกรรม การเกิดใหม่ นอกจากนี้ยังได้อธิบายเรื่อง ผี เทวดา เปรต ตลอดจนถึงอำนาจลึกลับต่างๆ

หลังได้ฟังจบ เบี้ยวเดินทางกลับบ้านด้วยความมั่นใจยิ่งกว่าคราวใด ครั้งนี้ทำให้เค้า “รู้ตัว” ในด้านจิตใจอย่างละเอียด “หลวงพ่อจะต้องยอมจำนนในคราวนี้แน่” คราวนี้เป็นเรื่องของจิตใจอันลึกซึ้งในพระอภิธรรมปิฎก ซึ่งพระพุทธเจ้า ทรงแสดงไว้เอง ถ้าหลวงพ่อปฏิเสธอีกก็ให้มันรู้ไป

วันรุ่งขึ้นเค้าจึงรีบไปที่ถ้ำ และเริ่มสาธยาย เรื่อง จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน ตามหลักพระอภิธรรม ที่ได้ฟังมาจาก ในงานปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ความลับของชีวิต” ให้กับหลวงพ่อฟัง ด้วยความมั่นอกมั่นใจเป็นพิเศษ

เจ้ายังไม่รู้ตัว” หลวงพ่อพูดขึ้นหน้าตาเฉย
สิ่งที่เจ้ารู้เป็นเพียง ... ปรมัตถสัจจะ” ว่าแล้วก็เดินเข้าถ้ำไป

ความผิดหวังถึง 3 ครั้ง 3 คราวนี้ ทำให้เบี้ยวเกิดความท้อแท้ใจ เพราะเชื่อมั่นว่าตน “รู้ตัว” จนเจนจบแล้ว
ทั้งในแง่วัตถุและจิตใจ ทั้งในแง่วิทยาศาสตร์ และแง่พุทธศาสนา นอกเหนือไปจากนี้ ไม่มีอะไรเหลืออยู่อีกและแล้วเบี้ยวก็เลิกล้มความคิดที่จะค้นหาความจริงต่อไป กลับไปดำเนินชีวิตฆราวาสอย่างปกติธรรมดาทำบุญรักษาศีลตามเดิม ไม่ได้คิดหาความหมายของ “รู้ตัว” และไม่ได้ไปพบหลวงพ่ออีกเลย


ประมาณ 1 เดือนหลังจากนั้น เบี้ยวมีธุระจะต้องเดินทางไปต่างอำเภอ จึงไปขึ้นรถโดยสาร ในระหว่างทางได้เผลอหลับไป ครั้นพอตื่นขึ้นมา กลับพบว่าตัวเองได้นอนอยู่ในโรงพยาบาล มองดูรอบตัว มีแต่ผู้คนที่ร้องเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวด ต่อมาภายหลัง เมื่อนางพยาบาลนำยามาให้ จึงได้ทราบว่า รถที่ตนโดยสารมานั้น เกิดประสบอุบัติเหตุ เสียหลักพุ่งลงข้างถนนและพลิกคว่ำ ทำให้ผู้โดยสารตายทันที 7 ศพ นอกนั้นบาดเจ็บสาหัส สำหรับเบี้ยว ขาขวาหัก ต้องเข้าเฝือก และต้องรักษาตัวอย่างน้อย 2 สัปดาห์

ที่โรงพยาบาลนี้เอง เบี้ยวได้รู้จักความจริงอีกด้านหนึ่งของชีวิต ความเจ็บปวดแสนสาหัสและความไม่สะดวกสบายต่างๆ อันเกิดจากความเจ็บปวด ภาพของเพื่อนมนุษย์ผู้ผอมโซ เพราะโรคภัยไข้เจ็บนานาชนิดที่เห็นตำตาทุกวันภาพคนเจ็บที่ตายลงต่อหน้าต่อตา และถูกนำใส่รถเข็นออกไป ท่ามกลางเสียงร้องไห้ครวญครางของคนรักภาพเหล่านี้ทำให้เบี้ยวมองชีวิตในแนวใหม่ เค้าเริ่มเห็นว่า

ชีวิตคือความทุกข์ แต่ละคนคือก้อนแห่งความทุกข์ ทุกคนที่เกิดมาในโลกเป็นคนป่วย ป่วยด้วยโรคหิว โรคกระหาย โรคง่วง โรคเหนื่อย โรครัก โรคชัง โรคอยาก โรคกลัว โรคโง่ โรคเหงา โรคเศร้า โรคทุกข์ สารพัดโรค

และเบี้ยวยังเห็นต่อไปอีกว่า

โลกทั้งโลก คือโรงพยาบาลอันมหึมา สมบัติทุกชิ้นที่มนุษย์มีอยู่และแสวงหาอยู่คือ ยาแก้โรคต่างๆ อาหาร แก้โรคหิว, น้ำ แก้โรคกระหาย, ที่พักอาศัย แก้โรคหนาวร้อน, เสื้อผ้า แก้โรคหนาวเย็น และโรคอาย, เพื่อนฝูงลูกเมีย แก้โรคเหงา, นอน แก้โรคง่วง, เรียน แก้โรคโง่, แต่ถึงแม้จะมียามากมายแค่ไหน ... ในที่สุด ก็ไม่พ้น โรคแก่ โรคเจ็บ และโรคตาย ซึ่งไม่มียาใดๆ รักษาได้

ความจริงของชีวิตที่เบี้ยวได้พบ ทำให้เกิดความสังเวชสลดใจอย่างลึกซึ้ง และความสังเวชนี้ได้ขึ้นถึงขีดสุดใน เช้าวันหนึ่ง … เบี้ยวสะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญดังมาจากข้างๆ เตียง ซึ่งเป็นเตียงของเพื่อนร่วมทุกข์ ชายหนุ่มวัย 28 ปี ที่นอนเจ็บอยู่ข้างๆกันมาเกือบอาทิตย์ ภรรยาของชายคนนั้นกำลังร้องไห้ฟูมฟาย และลูกน้อย วัย 3 ขวบที่กอดคอแม่ร้องไห้ ดูเป็นที่น่าสงสารยิ่งนัก … เบี้ยวได้ถามว่า ร้องไห้เพราะเหตุใด? ภรรยาของเขาไม่ตอบ เพียงแต่ชี้ไปทางสามีซึ่งกำลังนอน แน่นิ่งอยู่บนเตียง เบี้ยวลุกลงจากเตียง เดินกระย่องกระแย่งไปจับดูเท้าของเขา เบี้ยวสะดุ้งและชักมือกลับด้วยความตกใจ เพราะปรากฏว่า เท้าของเขาเย็นเฉียบ เมื่อคลำดูชีพจรที่ข้อเท้า ก็พบว่าเขา สิ้นใจตายเสียแล้ว! “ไปที่ชอบๆ เถิดเพื่อนรัก” เบี้ยวพูดออกมาคล้ายคนละเมอ พลางยื่นมือไปปิดเปลือกตาของเขา

ในไม่ช้า เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลก็นำรถเข้ามาเทียบ ยกร่างอันไร้วิญญาณของเขาขึ้นสู่รถเข็น แล้วเข็นออกไป พร้อมด้วยภรรยาของเขา ซึ่งอุ้มลูกหอบผ้าร้องไห้เดินตามไปอย่างระทดระทวย คนป่วยอื่นๆต่างมองหน้ากันทำตาปริบๆ “เขาไปเสียแล้ว” คนป่วยชราบนเตียงข้างหน้าอุทานออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ “แต่ในไม่ช้าเราทุกคนก็จะตามเขาไป” ว่าแล้วก็ล้มตัวลงนอนเอามือก่ายหน้าผากมองเพดาน ... เบี้ยวล้มตัวลงนอนบ้าง แต่แล้วก็ผุดลุกขึ้นนั่งทันที เพราะเกิดความคิดขึ้นอย่างฉับพลัน คล้ายมีแสงสว่างวาบขึ้นในดวงจิตว่า “รู้ตัว” ก็คือ รู้ทุกข์ รู้ทุกข์ เท่ากับ “รู้ตัว

รู้ตัว ก็คือ รู้ทุกข์ รู้ทุกข์เท่ากับ รู้ตัว” พร้อมๆ กับความคิดนี้ ทำให้เบี้ยวเกิดความเบื่อหน่ายแกมสังเวชสลด ใจต่อการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เขาได้ตั้งปณิธานลงไปว่า ...

ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้าจะทำความดีใดๆ  ก็จะไม่ทำเพื่อให้ตน ได้ไปเกิดในสวรรค์ อันจะเป็นเหตุให้เวียนว่ายตายเกิดอีก แต่จะทำเพื่อขัดเกลาสันดานให้บริสุทธิ์สะอาด เพื่อความพ้นทุกข์ ถ้าจะเว้นการทำชั่ว ก็จะไม่เว้นเพราะกลัวตกนรก แต่เว้นเพราะกลัวการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ

ขณะที่กำลังนั่งคิดอยู่นั้นเอง จิตใจก็หวนนึกถึงหลวงพ่อที่ถ้ำขึ้นมา เบี้ยวเกิดความมั่นใจอย่างประหลาดว่า บัดนี้ได้ “รู้ตัว” แล้ว ความมั่นใจทำให้อยากหายเร็วๆ จะได้รีบกลับไปรายงานผลให้หลวงพ่อทราบ เบี้ยวล้มตัวลงนอนด้วยจิตใจ อิ่มเอิบ และด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มผิดจากวันก่อนๆ ปิติอันเกิดจากความรู้ใหม่ ทำให้เบี้ยวลืมความเจ็บป่วยเกือบสิ้นเชิง

แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่นึกไม่ฝันก็ได้เกิดขึ้น!! หลวงพ่อที่เบี้ยวกำลังระลึกถึงอยู่นั้น ได้เดินผ่านทะลุประตูเข้ามาในห้องจริงๆ!! หลวงพ่อท่านมาหยุดยืนอยู่ข้างเตียงของเบี้ยว แต่มิได้พูดอะไรออกมา ...
เบี้ยวรีบลุกขึ้นนั่งยกมือไหว้ แต่ก็พูดอะไรไม่ออก เพราะความตกตะลึงต่อเหตุการณ์ที่ไม่นึกไม่ฝันมาก่อน
ครั้นได้สติกลับคืนมา ก็เตรียมจะเอ่ยปากรายงานผลการ “รู้ตัว” แก่ท่าน ... แต่ก่อนที่จะทันได้อ้าปากพูด
หลวงพ่อท่านก็ยกมือขวาขึ้นเป็นเชิงห้าม แล้วท่านก็พูดออกมาเองอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า

เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว ... ผู้ใดรู้จักทุกข์ ผู้นั้นรู้จักตัว ผู้ใดเห็นตัว ผู้นั้นเห็นทุกข์ ...
ถ้าเจ้ารู้ สมมติสัจจะ เจ้าจะเพียงแต่ฉลาดในคดีโลก ...
ถ้าเจ้ารู้สภาวะสัจจะ เจ้าจะเป็นเพียงนักวิทยาศาสตร์ ...
ถ้าเจ้ารู้ปรมัตถสัจจะ เจ้าก็จะเป็นได้ก็เพียงนักปรัชญา ...
แต่ถ้าเจ้าเห็นทุกข์ เจ้าก็เห็นอริยสัจจะ และกำลังจะก้าวไปสู่ความเป็นอริยบุคคล …
เจ้าเริ่มก้าวขึ้นสู่ทางเดินอันถูกต้อง และจะไม่มีวันถอยหลังกลับ

เจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นทุกข์อันมาในรูป คนแก่ คนเจ็บ และคนตาย ทรงเบื่อหน่าย
เสด็จออกบรรพชา แล้วพระองค์ก็ไม่กลับคืนมาสู่โลกอันเต็มไปด้วยทุกข์อีก
ท่านยสกุลบุตรตื่นขึ้นกลางดึก เห็นสภาพอันน่าสังเวชของหญิงบริวาร ที่กำลังหลับใหลอยู่
เป็นดุจซากศพในป่าช้าผีดิบ จึงเดินบ่นออกจากบ้านตนเอง ไปจนพบพระพุทธองค์
ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แล้วท่านก็ไม่หวนกลับมาอีก พระสารีบุตร และพระมหาโมคัลลานะ
เห็นทุกข์ขณะดูมหรสพบนยอดเขา เกิดความเบื่อหน่าย ออกบรรพชาแล้ว ท่านก็ไม่หวนกลับอีก
ใครๆ ก็ตามถ้ายังไม่เห็นทุกข์ แม้ออกบรรพชา ก็ยังจะต้องหวนกลับคืน ... 

บัดนี้เจ้า 'รู้ตัว' แล้ว เป็นพุทธศาสนิกชนที่สมบูรณ์ทั้ง กาย วาจา ใจ …
จงก้าวเดินต่อไปตามทางแห่งอริยมรรค เพื่อดับสมุทัย และบรรลุถึงนิโรธในที่สุดเถิด

พูดจบ หลวงพ่อท่านก็หันกลับ เดินทะลุประตูออกไปทันที ก่อนที่เบี้ยวจะได้กล่าวตอบโต้ใดๆ
เบี้ยวยกมือไหว้ตามหลังท่าน แล้วก็ก้มหน้าคิดทบทวนตามคำสอนของหลวงพ่อ เป็นครั้งแรก
ที่ได้ยินหลวงพ่อพูดอย่างยืดยาวเช่นนี้ เบี้ยวรู้สึกปลื้มปิติ อย่างบอกไม่ถูก ที่หลวงพ่ออุตส่าห์มาเยี่ยม
และที่สำคัญที่สุด ก็มารับรองความเห็นของเขาว่า ถูกต้องแล้ว

หลังจากได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้ เบี้ยวเดินทางกลับบ้านทันที โดยหวังว่าจะไปนมัสการ
หลวงพ่อให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ พอถึงบ้านอาบน้ำรับประทานอาหารอย่างรีบเร่ง แล้วก็ออกเดินทาง
มุ่งหน้าสู่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เมื่อถึงปากถ้ำ เบี้ยวมิได้พบหลวงพ่อนั่งพักผ่อนอยู่ที่ปากถ้ำดังแต่ก่อน
บรรยากาศทั่วไปก็ดูเงียบเชียบวังเวงผิดปกติ เขารู้สึกประหลากใจอย่างมาก แต่ก็ยังหวังอยู่ว่า
หลวงพ่อคงจะพักผ่อนอยู่ในถ้ำ ครั้นโผล่ศีรษะเข้าไปในถ้ำและส่งเสียงร้องเรียก “หลวงพ่อๆ” หลายครั้ง
แต่ก็ไม่มีเสียงตอบ นอกจากเสียงของเขาเองที่สะท้อนกลับมา เบี้ยวสำรวจภายในถ้ำจนทั่ว
ก็ไม่พบร่องรอยของหลวงพ่อ จนในที่สุดระหว่างเดินทางกลับบ้าน ชายแก่คนหนึ่งซึ่งเดินสวนทางมา
หลวงพ่อจากถ้ำไปเสียแล้ว" ชายแก่บอกกับเขา "ไม่มีใครรู้ว่าท่านไปไหน มีคนเห็นท่านสะพายบาตรแบกกลดเดินขึ้นเขาไปตั้งแต่เย็นวานนี้” ... แม้หลวงพ่อจะได้จาริกธุดงค์จากไปแล้ว
แต่เบี้ยวรู้สึกคล้ายกับว่าหลวงพ่อท่านยังอยู่กับเขาตลอดเวลา….


หลวงพ่อธรรมงาม-พระธุดงค์เถื่อนที่ควรบูชา ท่านอยู่ ณ ที่ใด?
------------------------------------------------------------------

เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของ หัวหน้าหน่วยพิทักษ์ป่าชะแนน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย ชื่อ บัวเพชร ประกายสิทธิ์ ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า “เบี้ยว ชัยพร” ขณะกำลังขับรถออกตรวจเขตป่าอยู่ นั่งระลึกไปถึง พระธุดงค์รูปหนึ่ง “ผู้ที่ไม่หวนกลับ” ในฉายานาม “หลวงพ่อธรรมงาม

เรื่องราวนี้ ถูกเผยแพร่จากนิตยสารในเครือโลกทิพย์ ซึ่งได้นำเรื่องราวของ “หลวงพ่อธรรมงาม
(พระธุดงค์โสภณ ธัมมโสภโณ) แห่งกุฏิแพ-อาศรมพระธรรมงามริมฝั่งโขง มาตีพิมพ์ เพื่อสนองเจตนาของศรัทธา ญาติโยม ศิษยานุศิษย์ที่เคารพนับถือในพระธุดงค์รูปนี้

ผมบังเอิญได้อ่านเจอบทความนี้ รู้สึกน่าสนใจ ให้แง่คิด เป็น ธรรมะสอนใจ น่าจะมีประโยชน์กับเหล่าฆราวาสธรรมท่านอื่นๆ จึงได้เรียบเรียงใหม่ โดยย่อให้ใจความกระชับขึ้น เพื่อให้ง่ายต่อการอ่าน หากอยากอ่านฉบับเต็ม สามารถอ่านได้ที่ www.dhamma-ngam.com เป็นเว็ปไซด์ของหลวงพ่อโดยตรงซึ่งยังมีตำนานเรื่องเล่าขานน่าสนใจ อีกหลายเรื่องเกี่ยวกับ “หลวงพ่อธรรมงาม” ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น พระอรหันต์สีวลีในยุค 200 ปี แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

- JoJho
Copyright © 2014 Dhamma For Who